BrandNew Sunset: The Machiner (Review)


 ถือว่าเป็นขาใหญ่ในวงการไปแล้วเรียบร้อย อาจไม่ใช่ในแง่ชื่อเสียงที่โด่งดังเปรี้ยงปร้าง แต่กับคุณภาพของงานแต่ละชุดที่ระยะหลังสามารถเข้าชิงรางวัลสำคัญๆได้อยู่เรื่อยๆนั่นก็พอจะเป็นเครื่องการันตีความสามารถของพวกเขากับวง Brandnew Sunset ได้เป็นอย่างดี


ความสำเร็จจากงานชุดที่แล้ว Of Space and Time ทำให้งานสตูดิโออัลบั้มชุดล่าสุด The Machiner นั้นมีความทะเยอทะยานไปไกลมากๆในหลายภาคส่วน แฟนๆที่ตามงานของวงกันมาตั้งแต่ช่วงแรกได้เหวอกันตลอดระยะเวลา 40 นาทีของอัลบั้มนี้กันอย่างแน่นอน


อีกหนึ่งสิ่งที่สะดุดหูกับคำนิยามที่ว่าเป็นการพบกันระหว่าง The Beatles อัลบั้ม Revolver กับ Black Sabbath Vol.4” ถือว่าสะกิดคนฟังได้ไม่น้อย และดูท่าว่าจะไม่ใช่คำกล่าวอ้างที่เกินจริงเสียด้วย สองอิทธิพลนี้คือหัวเชื้อหลักของอัลบั้มและยังมีซาวด์แบบที่พวกเขาไม่เคยทำมาก่อนไม่ว่าจะ Stoner, Drone Metal, Post-Metal หรืออาจจะเลยเถิดไปถึง Doom Metal ในบางส่วน


D.O.N.E. อินโทรสั้นๆสุดหลอนเคร่งขรึม โทนกลองของ เติร์ก ดิบสาก หน่วงขึ้นแบบสัมผัสได้ ส่วนที่เหลือก็หยาบกระด้างไม่แพ้กัน, Headspin ซัดกันรวดเดียวในเวลานาทีกว่า คอรัสประสานเสียงในสไตล์ The Beatles แทรกมาได้โคตรเท่ถูกจังหวะ, Fading Reality ลดความเร็วและแทนที่ด้วยการสับริฟฟ์แบบโคตรหนักและโฉ่งฉ่าง แต่ถ้านั่นยังไม่พอก็จงหัวทิ่มกับท่อนเบรคที่โคตรหน่วงตบกบาลให้หน้าทิ่มดินอีกสักรอบ, Catalyst ทำลายล้างกันอย่างต่อเนื่องที่กระเดียดไปทางพังค์ ร็อคเถื่อนๆ อันเป็นรากเหง้าของพวกเขา ไม่ต้องถามหาท่อนร้องคลีน เพราะเผลอแป๊บเดียวก็จบไปอีกเพลงแล้ว, The Sun That Never Came ฮาร์ดร็อคจังหวะกลางชวนโยก ริฟฟ์กีตาร์หนืดย้วยยังกับพวก สโตนเนอร์ ไม่นับท่อนโซโล่กีตาร์วาห์ที่มาเติมความเก๋าอีกชั้น









City of Dust หลังจากที่ไม่เจอแสงอาทิตย์ในเพลงก่อนหน้า เมืองนี้ก็ตกอยู่ในสภาพขุ่นมัวจากฝุ่นควัน กับแทร็คบรรเลงที่ใช้อะคูสติกกีตาร์เป็นตัวเดินเรื่อง ขายบรรยากาศดำมืด ราวกับวันสิ้นโลกยังไงยังงั้น, HEX อินโทรเสียงคำรามของมนุษย์ราวกับว่าจะประกาศอิสรภาพอะไรสักอย่าง มูฟเมนท์หลากหลายบนความยาวกว่า 9 นาที เนิบนาบในช่วงครึ่งแรก ก่อนจะให้กีตาร์เชื่อมครึ่งหลังของเพลงที่เน้นทดลองกันอย่างหนักมือ ไหลไปตามมู้ดอย่างพวกวง Psychedelic ก่อนที่ช่วงท้ายจะคลี่คลายด้วยทางคอร์ดสวยๆ จบแบบมหากาพย์ไปเลย





The Machiner หนึ่งในงานทดลองอีกเพลงที่เต็มไปด้วยพายุนอยส์กีตาร์หนาเป็นเมตร ดิบเถื่อนก้าวร้าว ไร้ความไพเราะจากเมโลดี้ใดๆ ทางด้านวิธีการร้องก็ถือว่าก้าวไปอีกขั้นโดยใช้การร้องผ่านตู้แอมป์กีตาร์ โคตรกดดันเหมาะกันดีกับการส่งสารจากผู้ควบคุม, Into the New Sky คลี่คลายด้วยท่วงทำนองติดหู ที่อยู่ในดงริฟฟ์กีตาร์ที่คอยสาดใส่เป็นระยะ โดยมีเบสจาก ยุทธ คอยเดินดุ่มๆคุมจังหวะได้เท่ชะงัดนัก โซโล่กีตาร์จาก ชาย เล่นโทนย้อนยุคที่โคตรเท่ ก่อนจะจบที่ทั้งวงโชว์ทีมเวิร์คพาร์ทริธึ่มอันแข็งแกร่ง, Post-apocalyptic Lullaby งานนี้ ตูน ได้โชว์เสียงหล่อแบบเต็มเหนี่ยวเสียที ปิ๊กกิ้งกีตาร์โคตรเพราะในสไตล์ ฮาร์ดร็อคร่วมสมัย ผ่านพ้นช่วงโชว์หล่อไปที่เหลือคือความหนักแน่น ล่องลอย รูดม่านปิดฉากได้สวยงามมาก หลังจากตึงกันมาทั้งอัลบั้ม


นอกจากนี้ทางวงได้ใช้เทคนิคการบันทึกเสียงแบบอนาล็อกเพิ่มความสดใหม่ราวกับว่าทุกสรรพเสียงนั้นมีชีวิตจริงๆ อีกทั้งเนื้อหาที่ค่อนข้างซีเรียส กดดันนั้นเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างยิ่งกับการเลือกใช้ซาวด์ที่ค่อนข้างใหม่ทีเดียวสำหรับวงการดนตรีร็อคบ้านเรา


ใครที่เห็นยาขมเป็นขนมหวาน งานชุดนี้เหมาะมากๆ และหากมีจินตนาการร่วมกับคอนเซ็ปต์อัลบั้มอีกสักนิดก็จะเต็มอิ่มในอารมณ์ได้ครบถ้วนมากขึ้นครับ


Comments

Popular posts from this blog

Avenged Sevenfold Live in Bangkok 2015

Sum 41: Underclass Hero (จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญมาเยือน)

New Found Glory: Resurrection (หนึ่งสมาชิกที่หายไปแต่ผลงานข้างในยังคงเดิม)