Yellowcard: Lift a Sail (การกลับมาที่แปลกใหม่กว่าทุกครั้ง)



            จะว่าไปหากกล่าวถึงดนตรีที่เรียกว่า ป๊อป-พังก์ ทุกคนคงจะนึกถึง เพลงที่มีจังหวะเร็วๆ กีต้าร์เล่นอยู่ไม่กี่คอร์ด ทำนองติดหู ลีลาการเล่นดนตรีที่ดูแสบซ่า ใช่แล้วครับ Yellowcard ก็เคยเป็นแบบนั้น แต่นั่นคงใช้นิยามอะไรในอัลบั้มลำดับที่ 9 ของวงไม่ได้เลย ซึ่งทางวงได้ออกมาให้ข้อมูลก่อนหน้าอัลบั้มจะวางไม่นานว่า อัลบั้มนี้คงไม่มีเพลงที่มันสนุกๆ เร็วๆ มากเท่าที่เคยอีกแล้ว รวมถึงเนื้อหาที่ดูเป็นส่วนตัวมากขึ้นของ ไรอัน คีย์ นักร้องนำ
            ด้วยความที่อัลบั้มนี้ลดน้ำหนักความเป็นป๊อป-พังก์ลง ทำให้ผู้เขียนกังวลว่าทางวงกำลังจะทำ Lights and Sounds ภาคสองหรือไม่ แต่หลังจากที่ได้ฟังไปหลายรอบแล้วก็รู้สึกได้ว่า เพลงเบาลงจากงานเก่าๆจริง แต่ไม่ได้มืดมนอึมครึมอย่างงานที่ว่าแน่นอน แถมชุดนี้เนื้อเพลงยังดูแง่บวกกว่าพอตัวอีกด้วย จะช้าอยู่ไยละครับ ไปดูกันเลยว่าแต่ละเพลงเป็นอย่างไรกันบ้าง

1. Convocation
เปิดอัลบั้มด้วยอินโทรเครื่องสายอันเป็นเอกลักษณ์ของวง ซาวนด์ดูใหญ่ขึ้นจากงานเก่าๆพอควรครับ

2. Transmission Home
หนึ่งในเพลงที่ปล่อยออกมาให้ฟังก่อนหน้ากับเพลงจังหวะกลางๆ ลอยๆ แต่เด่นที่ริฟฟ์กีต้าร์แน่น บทบาทไวโอลินของ Sean ถูกลดมาเสริมสร้างบรรยากาศแทนที่จะได้โชว์เหมือนอย่างเคย

3. Crash the Gates
ยังสานต่ออารมณ์จากแทร็คก่อนหน้า ด้วยเพลงจังหวะกลางค่อนไปทางช้าๆกดๆ แซมด้วยเทคนิคการเล่นซาวนด์,Tapping กีต้าร์ของเมนเดสไว้ได้น่าฟัง เมโลดี้ดูแหวกๆจากเดิมที่เคยทำครับ

4. Make Me So
เพลงนี้พวกเขายังไม่ลืมที่จะใส่เพลงสไตล์เก่าๆที่ทำกันได้ดีอยู่แล้ว แต่ก็แอบแทรกพวกลูปกลอง เปียโนไว้จางๆ ไม่ให้ดูเรียบเกินไปนัก และก็เป็นอีกเพลงที่กีต้าร์ของเมนเดสทำให้เพลงดูน่าฟังขึ้น

5. One Bedroom
Single แรกสุดหวานของอัลบั้มนี้ ที่ไรอัน คีย์ได้แต่งให้กับภรรยาของเขา หลังจากประสบอุบัติเหตุครับ ด้านดนตรีเป็นอะคูสติกหวานๆที่ดูเหมือนไม่มีอะไร ก่อนที่เมนเดสคนเดิมจะจัดท่อนโซโล่ยาวเหยียดท้ายเพลง ชนิดที่ Yellowcard ไม่เคยทำมาก่อน

6. Fragile and Dear
เพลงเนื้อหาเศร้าๆ ที่ถ่ายทอดออกมาได้เยี่ยม และพระเอกของเพลงนี้เป็นเสียงโซโล่ไวโอลินบาดลึกของ Sean เจ้าเก่าครับ

7. Illuminate
เนื้อหาให้กำลังใจ แนวถนัดของพวกเขา ภาคดนตรีน่าสนใจกับการมูฟเม้นท์ไปมา ท่อนคอรัสพี่คีย์หวานได้โล่เลยทีเดียว

8. Madrid
บัลลาดหวานๆ ที่พี่คีย์แต่งให้ศรีภรรยา(อีกแล้ว) สองคนนี้เจอกันที่มาดริดนะครับ (ไม่แน่ใจว่าไปดูศึก เอล กลาซิโก้รึเปล่า 55555) โอบล้อมไปด้วยกีต้าร์ดีดคอร์ดหวานๆแล้วปล่อยให้พี่คีย์พรรณนาตามฟีล

9. The Deepest Well
มีแขกรับเชิญมาร่วมร้องด้วยครับ Matty จากวง Memphis May Fire ตัวเพลงออกไปทางกลิ่นฮาร์ดร็อกซะงั้น (แต่ยังฟังเป็น Yellowcard อยู่) นักร้องสองคนแบ่งพาร์ทร้องกันได้ดี กับเนื้อหาการก้าวผ่านเรื่องราวแย่ๆครับ

10. Lift a Sail
ไตเติ้ลแทร็กที่ทั้งเนื้อเพลง เสียงร้อง พาร์ทดนตรี ดูแข็งแรงที่สุดในอัลบั้มนี้ จังหวะกลางๆค่อนไปทางช้าที่เปิดทางให้เมนเดสได้โชว์โซโล่กีต้าร์เท่ๆ ฟร้อนท์แมนของวงยังถ่ายทอดอารมณ์ได้ดีเช่นเคย I am ready now ท่อนนี้ติดหูมากครับ

11. MSK
หากใครสงสัยว่าเสียงไวโอลินมันหายไปไหนหมด? คำถามเหล่านั้นจะหมดไปเมื่อได้ฟังเพลงนี้ สารพัดเครื่องสายที่ถูกเรียบเรียงไว้ได้อย่างประณีต แสดงถึงชั้นเชิงการเรียบเรียงของ Sean บวกกับท่อนร้อง I need you ครั้งแล้วครั้งเล่า เท่านี้ก็เพียงพอต่อการนั่งฟังละครับ

12. My Mountain
กลับมาหาซาวนด์เก่าๆของวงบ้าง เพลงสไตล์นี้พวกเขาทำได้ดีไม่แพ้ใครเลยครับ

13. California
บัลลาดเปียโนส่งท้ายอัลบั้มแบบเหงาๆ ใครเป็นแฟน Coldplay รับรองถอนตัวไม่ขึ้นแน่ๆ ก่อนหน้านี้เคยมีสัมภาษณ์ครับว่าทางวงได้แรงบันดาลใจมาเหมือนกัน

                คงมีความเห็นต่างๆกันไปนะครับสำหรับซาวนด์ใหม่ๆในชุดนี้ การกลับมาครั้งนี้ถือว่าเปลี่ยนไปมากจริงๆ ส่วนตัวค่อนข้างชอบมากครับ ดูมีพัฒนาการไม่เน้นเพลย์เซฟอย่างที่ผ่านมา นอกจากนี้การเปลี่ยนมือกลองจาก Longineu (ที่อยู่กับวงมาตั้งแต่ยุคตั้งไข่) มาใช้บริการของ Nate Young จากวง Anberlin (ซึ่งมาช่วยแค่งานสตูดิโอและออกทัวร์สั้นๆกับวง) ก็ดูจะมีผลกับอัลบั้มนี้มากอยู่เหมือนกัน
                สุดท้ายครับ จะดีใจมากถ้ามีคนอ่านรีวิวชิ้นนี้แล้วหันกลับมามองวงอย่าง Yellowcard บ้าง ซึ่งแฟนเพลงบ้านเรามีน้อยอย่างน่าใจหาย ลองไปหามาฟังกันดูนะครับ ส่วนจะชอบรึเปล่านี่ หูใครหูมันนะครับ

Comments

Popular posts from this blog

Avenged Sevenfold Live in Bangkok 2015

Sum 41: Underclass Hero (จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญมาเยือน)

New Found Glory: Resurrection (หนึ่งสมาชิกที่หายไปแต่ผลงานข้างในยังคงเดิม)